บทความการศึกษาปฐมวัยแบบเตรียมความพร้อม
การจัดการศึกษาปฐมวัยแบบเตรียมความพร้อม เป็นลักษณะของการจัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยที่ยึดหลักการตอบสนองความต้องการของผู้เรียน โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมพัฒนาการทุกด้านของเด็กอย่างเหมาะสมและเต็มตามศักยภาพของแต่ละคน ครูปฐมวัยจึงเป็นบุคคลสำคัญในการพัฒนาเด็ก และหากมีความเชื่อในการจัดการศึกษาแบบเตรียมความพร้อม นอกเหนือจากการมีความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของเด็กตามพัฒนาการแต่ละด้านแล้ว ต้องนำความรู้ดังกล่าวสู่การปฏิบัติที่สอดคล้องกับความเชื่อในเรื่องของการเตรียมความพร้อม ดังนี้
การส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกาย
1. การจัดสภาพแวดล้อมที่ถูกสุขลักษณะและปลอดภัย ถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกในการส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกายของเด็ก ทั้งนี้เด็กจะต้องได้รับการเลี้ยงดูในสถานที่สะอาด มีสุขอนามัยที่ดี ปราศจากสิ่งรบกวนที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพทั้งทางกายและจิตใจ มีความปลอดภัยทั้งจากสิ่งที่อันเป็นเหตุให้เกิดความไม่ปลอดภัยทางกาย และการคุกคามทางจิตใจ
2. การจัดตารางเวลาในกิจวัตรประจำวันที่เหมาะสมและตอบสนองความต้องการทางกายของเด็กคือ ความต้องการที่เป็นความต้องการพื้นฐานทางกาย เด็กต้องการเวลาในการรับประทาน การพักผ่อน การเข้าห้องน้ำเพื่อขับถ่าย ต้องการอากาศบริสุทธิ์ แสงแดดอ่อน และความต้องการในการเคลื่อนไหว ดังนั้นในแต่ละวันจะต้องจัดช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับให้เด็กได้รับการตอบสนองความต้องการพื้นฐานดังกล่าว โดยเฉพาะการจัดเวลาที่ได้สัดส่วนกันระหว่าง กิจกรรมที่ให้ได้เคลื่อนไหวกับกิจกรรมที่สงบ หรือทำงานเงียบ ๆ
3. การจัดกิจกรรมที่ได้สัดส่วนที่พอเหมาะในส่วนที่เป็นกิจกรรมกลางแจ้งกับกิจกรรมในร่ม ทั้งนี้เพราะเด็ก ๆ ต้องการการเคลื่อนไหวอย่างอิสระในการใช้กำลังกายในการเล่นและเคลื่อนไหว การทำกิจกรรมกลางแจ้งไม่ว่าจะเป็นการเล่นเครื่องเล่นสนาม การเล่นเกม การเล่นอิสระ และการทำกิจกรรมอื่น เช่น การทำสวน การดูแลสัตว์เลี้ยง การเล่นบ่อทราย จะเป็น กิจกรรมที่ทำให้เด็กได้พัฒนาอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย การทำงานประสานสัมพันธ์กันของกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ รวมทั้งการได้รับอากาศบริสุทธิ์และแสงแดด ขณะเดียวกันการให้เด็กได้ทำ กิจกรรมในร่ม เด็กจะได้ทำกิจกรรมที่ลดการใช้กำลังลง เป็นการทำกิจกรรมที่ใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก อวัยวะ รับสัมผัสอื่น ๆ รวมทั้งการทำกิจกรรมที่ใช้ความตั้งใจ สมาธิ ซึ่งในกิจกรรมทั้ง 2 ประเภท เด็กควรได้ทำในสัดส่วนที่พอเหมาะ
4. การให้ได้รับอาหารและน้ำดื่มอย่างเพียงพอ เนื่องจากเด็กจะใช้เวลาอยู่ในสถานศึกษาทั้งวัน จึงต้องจัดอาหารให้เด็กตามเวลาที่ร่างกายของเด็กต้องการ เช่น อาหารว่างเช้า - บ่าย และอาหารกลางวัน ทั้งนี้อาหารที่จัดให้ควรเน้นอาหารที่มีคุณค่า สะอาด และสร้างนิสัยการบริโภคที่ดี ไม่เลือกอาหาร ลดอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ การจัดอาหารที่มีคุณค่าให้แก่เด็ก นอกจากจะมุ่งคุณค่าทางด้านภาวะโภชนาการแล้ว ยังเป็นการสร้างนิสัยการบริโภค ที่เป็นพื้นฐานของสุขภาพที่ดีในวัยผู้ใหญ่ ขณะเดียวกันต้องให้เด็กได้ดื่มน้ำสะอาดที่เพียงพอ ทั้งนี้การวิจัยใหม่ ๆ ได้มีข้อค้นพบว่า นอกจากน้ำจะเป็นสิ่งสำคัญต่อชีวิตแล้ว การดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่พอเหมาะจะช่วยสนับสนุนการทำงานของเซลสมองให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย
5. การจัดพื้นที่ในห้องเรียนให้มีความสะดวกต่อการทำกิจกรรมที่เคลื่อนไหวและมีที่ทำงานส่วนตัว หรือการทำงานตามลำพัง ทั้งนี้เด็กเล็ก ๆ จะมีธรรมชาติของการเรียนรู้จากการสืบค้น ทดลอง ลองผิดลองถูก ทำให้เด็ก ๆ มีการเคลื่อนไหวในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่สนใจ ครูจึงต้องออกแบบกิจกรรมให้เด็กได้ใช้อวัยวะรับสัมผัสต่าง ๆ ในการเรียนรู้จากสภาพแวดล้อม ซึ่งต้องมีพื้นที่ในการทำกิจกรรมเหล่านั้น แต่ขณะเดียวกันเด็กยังต้องการความสงบในการทำงานที่ต้องใช้สมาธิและความตั้งใจที่จะเรียนรู้จากกิจกรรมที่ไม่ต้องเคลื่อนไหวหรือใช้พื้นที่มากนัก เช่น การเล่นเกมการศึกษา การอ่านหนังสือ การทดลองทำสิ่งต่าง ๆ หรืองานประดิษฐ์ตามความคิดของตนเอง ดังนั้นพื้นที่ที่สำหรับให้เด็กทำงานเงียบ ๆ จึงต้องจัดไว้ให้ด้วย
6. การจัดพื้นที่สำหรับการเคลื่อนไหวและการรับประสบการณ์ที่เกี่ยวกับดนตรี เพลง และจังหวะ เด็กปฐมวัยกับเสียงเพลงเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ จะสังเกตเห็นว่าแม้เด็กเล็ก ๆ ถ้าได้ยินเสียงเพลงหรือเสียงดนตรีที่สนุกสนาน เด็กจะรับรู้และแสดงออกด้วยการทำกิริยาท่าทางไปตามเสียงเพลงที่ได้ยิน ดังนั้นในชั้นเรียนระดับปฐมวัย นอกเหนือจากการจัดมุมดนตรี แล้วต้องจัดให้มีพื้นที่ให้เด็กได้ทำกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ เพื่อการเต้น การร่ายรำ การแสดงท่าทาง และการแสดงออกทางดนตรี เพลงนาฏศิลป์ และลีลาท่าทาง
7. การรับรู้และดูแลช่วยเหลือเมื่อเด็กเจ็บป่วย หรือเหน็ดเหนื่อยจากการทำกิจกรรม โดยธรรมชาติแล้วเด็ก ๆ จะเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาเพื่อทำกิจกรรมที่สนใจ แต่ครูต้องคอยสังเกตเมื่อเด็กมีความอ่อนล้าจากการทำกิจกรรมที่ออกแรงมากเกินไป ถ้ารู้สึกว่าเด็กเหน็ดเหนื่อยหรืออ่อนล้า ควรให้เด็กหยุดพักหรือทำกิจกรรมเงียบ ๆ ผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ และขณะเดียวกันหากสังเกตเห็นเด็กมีอาการที่แสดงว่าไม่สบายหรือเจ็บป่วย ครูต้องไวที่จะเข้าไปช่วยเหลือดูแลทันที
การส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกายของเด็กจึงให้ความสำคัญต่อการจัดสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่ตอบสนองธรรมชาติด้านการเคลื่อนไหว ความต้องการทางกาย การดูแลสุขอนามัย การฝึกฝนสุขนิสัยและภาวะโภชนาการ รวมทั้งการดูแลตอบสนองทางจิตภาพของเด็กด้วย เพราะจิตใจที่มีความสุขย่อมส่งผลต่อสุขภาพกายที่แข็งแรง และมีผลต่อความสามารถในการเรียนรู้อันเป็นเป้าหมายสำคัญของการจัดการศึกษา
การส่งเสริมพัฒนาการด้านสังคม
1. ให้เด็กแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแสดงพฤติกรรมของเด็กที่ทำให้เด็กอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ ทั้งนี้เนื่องจากเด็กปฐมวัยจะมีธรรมชาติของการยึดตนเองเป็นศูนย์กลางทั้งการคิดและการกระทำอันเป็นอุปสรรคต่อการเข้าสังคมกับผู้อื่น การให้เด็กแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ทำให้ผู้อื่นยอมรับ ชื่นชอบ และยินดีที่จะทำกิจกรรมร่วมด้วย จะทำให้เด็กเข้าใจถึงวิธีปรับตัวและแสดงพฤติกรรมที่เป็นที่ยอมรับทางสังคม
2. การสนทนาพูดคุยกับเด็กเกี่ยวกับพฤติกรรมที่สังคมไม่ยอมรับ นอกเหนือจากการให้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมทางบวกแล้ว การพูดคุยกับเด็กถึงพฤติกรรมสังคมในทางลบ ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบให้เด็ก ๆ เห็นว่ามีพฤติกรรมใดบ้างที่เด็กแสดงแล้วเพื่อน ๆ ไม่ชอบ หรือ ผู้อื่นบอกว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดี รวมทั้งความรู้สึกของเด็กถ้ามีผู้แสดงพฤติกรรมทางลบเด็ก ๆ จะรู้สึกอย่างไร
3. จัดทำแผนภาพหรือรูปแบบพฤติกรรมทางสังคมที่ดีกับพฤติกรรมทางสังคมที่ไม่ดีที่ได้แสดงความคิดเห็นไว้ ให้เด็ก ๆ ได้เห็นโดยแสดงเป็นภาพหรือสัญลักษณ์ที่เด็กเข้าใจได้ ติดแสดงไว้เพื่อเป็นสิ่งเตือนใจ หรือจัดทำเป็นข้อตกลงของห้องเรียน
4. จัดประสบการณ์ให้เด็กได้เข้าใจทรรศนะหรือมุมมองของคนอื่น การที่รับรู้ถึงความรู้สึก ความคิดเห็นของผู้อื่น รวมทั้งการเข้าใจพฤติกรรมที่แสดงออกของผู้อื่นที่เด็กปฏิสัมพันธ์ด้วย จะช่วยพัฒนาการสร้างสัมพันธภาพของเด็กกับสังคม การเข้าใจมุมมองของคนอื่น และยอมรับความเห็นที่ต่างออกไป จะเป็นการฝึกฝนให้เด็กได้รู้จักการคิดเชิงเหตุผล ซึ่งจะช่วยสนับสนุนความสามารถทางสติปัญญาของเด็กให้เติบโตไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาด้านสังคม
5. เมื่อเด็กใช้เวลาปรับตัวกับการปฏิบัติตนตามกติกา ข้อตกลง กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในชั้นเรียนในการอยู่ร่วมกันได้แล้ว และสังเกตเห็นว่าเด็กมีประสบการณ์มากพอในการเล่นและทำงานร่วมกับผู้อื่น ครูควรลองให้โอกาสให้เด็กได้ฝึกฝนการแก้ปัญหาในการสร้างสัมพันธภาพและการอยู่ร่วมกับผู้อื่นด้วยตนเองเสียก่อน และหากว่ายังดำเนินการไปไม่ได้อย่างดีครูจึงตัดสินใจเข้าไปช่วยเหลือ
6. การจัดประสบการณ์ให้เด็กได้เล่นหรือทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ จะทำให้เด็กได้ฝึกฝนการสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น เรียนรู้ถึงพฤติกรรมที่ทำเป็นที่ยอมรับหรือไม่ยอมรับจากผู้อื่น รวมทั้งได้ฝึกการรับรู้ความคิด มุมมองของผู้อื่นด้วย การจัดกิจกรรมกลุ่มเล็ก ๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญในการจัดกิจกรรมในชั้นเรียน
7. การเข้าไปร่วมทำกิจกรรมต่าง ๆ กับเด็ก และคอยสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งนี้หลักการหนึ่งของวิธีการจัดประสบการณ์ระดับการศึกษาปฐมวัย คือการเรียนรู้ร่วมกัน การจัดกิจกรรมแล้วครูลงไปร่วมทำกิจกรรมด้วย จะทำให้มีโอกาสสังเกตพฤติกรรมของเด็ก ๆ ได้อย่างใกล้ชิดและได้เห็นลักษณะการสร้างสัมพันธภาพระหว่างกันของเด็ก
8. การให้ความช่วยเหลือเด็กที่มีปัญหาพฤติกรรมทางสังคม หรือการสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น การช่วยเหลือมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เด็กสามารถปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ รวมทั้งการเข้าไปแทรกแซงเพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้น เช่นกรณีเด็กทะเลาะหรือต่อสู้กัน การเข้าไปแทรกแซงของครู เช่น การหันเหความสนใจเด็กไปสู่กิจกรรมอื่น จะทำให้เด็กหยุดการทะเลาะกัน หรือผ่อนคลายความตึงเครียดลง
การส่งเสริมพัฒนาการทางสังคมของเด็กจึงเป็นการให้เด็กได้ทำงานเป็นกลุ่ม เพื่อฝึกฝนการรับรู้ความรู้สึก ความคิดเห็นของผู้อื่นและเข้าใจถึงพฤติกรรมที่เป็นที่ยอมรับกับพฤติกรรมที่สังคมไม่ยอมรับ อันจะเป็นหนทางที่นำเด็กไปสู่การอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขในอนาคต
การส่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์
1. การเข้าใจถึงสภาพทางอารมณ์ของเด็กและยอมรับว่าเป็นลักษณะของพัฒนาการทางอารมณ์ตามปกติของเด็ก ซึ่งได้แก่อารมณ์รัก โกรธ กลัว ดีใจ เสียใจ อิจฉา เครียด วิตกกังวลและคับข้องใจ และต้องเข้าใจว่าอารมณ์ของเด็กเกิดจากสถานการณ์ที่มากระทบหรือแวดล้อมตัวเด็ก ดังนั้นจำเป็นที่ครูจะต้องจัดสถานการณ์ที่สนับสนุนอารมณ์ทางบวกและพยายามลดสิ่งที่จะทำให้เกิดสถานการณ์ที่ส่งผลต่ออารมณ์ทางลบหรือที่ไม่พึงประสงค์
2. ครูต้องเข้าใจและรับรู้ถึงการแสดงออกทางอารมณ์ของเด็กบางคนที่อาจจะแตกต่างไปจากเด็กคนอื่น เนื่องจากเด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกัน รวมทั้งประสบการณ์ที่เด็กได้รับมาย่อมแตกต่างกัน การรับรู้ถึงพฤติกรรมทางอารมณ์ที่ต่างไปจากคนอื่น จะทำให้นำไปสู่การช่วยเหลือและแก้ไขได้อย่างทันท่วงทีและเหมาะสม หากพฤติกรรมนั้นแสดงถึงแนวโน้มที่อาจจะเป็นปัญหา
3. การสอนให้เด็กรับรู้และเข้าใจถึงอารมณ์ ความรู้สึกและพฤติกรรมของคนปกติทั่วไปที่มีอารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และเข้าใจถึงลักษณะการแสดงออกทางอารมณ์ที่ต่างไปจากปกติ หรือสภาพความผิดปกติทางอารมณ์ การเข้าใจถึงอารมณ์ที่ปกติกับผิดปกติ จะทำให้เด็กสามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น และดูแลตัวเองในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้
4. สอนให้รู้จักคำศัพท์ที่แสดงถึงสภาวะทางอารมณ์ต่าง ๆ ที่ตรงกับความจริง เช่น โกรธกับกลัว เกลียดกับโกรธ เป็นต้น
5. ฝึกฝนให้เด็กได้เข้าใจถึงการแสดงออกทางอารมณ์ที่ผู้อื่นไม่ชอบ หรือไม่ยอมรับ
6. การพูดคุยกับเด็กถึงการแสดงพฤติกรรมทางอารมณ์ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งคนอื่นไม่ชอบ หากเด็กมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจะทำให้ได้การยอมรับจากคนอื่น
7. สนทนาพูดคุยให้เด็กเข้าใจถึงความรู้สึกของคนอื่น ๆ ที่มีต่อการแสดงพฤติกรรมทางอารมณ์ทั้งในทางบวกและทางลบ ซึ่งจะเป็นการช่วยให้เด็กเข้าใจถึงการใช้ชีวิตในสังคม
8. ครูต้องไวต่อการรับรู้ถึงอารมณ์ที่เป็นสภาพปัญหาของเด็กและเข้าไปช่วยเหลืออย่างเหมาะสม
ดังนั้นการส่งเสริมพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็กปฐมวัยจึงเกี่ยวข้องกับการสอนให้เด็กเข้าใจถึงอารมณ์ ความรู้สึกทั้งของตนเองและผู้อื่น การแสดงออกทางอารมณ์อย่างเหมาะสมต่อสถานการณ์ต่าง ๆ และการรับรู้ ตลอดจนการช่วยเหลือเด็กที่ปัญหาทางอารมณ์ เพื่อให้เด็กสามารถปรับพฤติกรรมการแสดงออกทางอารมณ์ให้เป็นที่ยอมรับของผู้อื่น อันจะช่วยให้เด็กอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
การส่งเริมพัฒนาการทางสติปัญญา
1. การยอมรับและเข้าใจว่าเด็กทุกคนมีความสามารถที่จะเรียนรู้ และมีวิธีการเรียนรู้เป็นของตนเอง ทั้งนี้เด็ก ๆ จะเรียนรู้จากการใช้ประสาทสัมผัส การได้รับประสบการณ์ตรงจะทำให้เด็กเข้าใจถึงสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว และนำข้อมูลไปสู่การปรับขยายความรู้ในโครงสร้างทางสติปัญญาเดิม ทำให้เกิดความรู้ใหม่ พร้อมที่จะขยายประสบการณ์ให้กว้างขวางต่อไป กระบวนการเรียนรู้ดังกล่าวนี้เด็กแต่ละคนจะมีวิธีการของตนเอง ดังนั้นนอกจากครูจะเข้าใจถึงลักษณะวิธีการเรียนรู้ของเด็กแล้วจะต้องยอมรับความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กว่า มีความสามารถที่แตกต่างกัน การจัดประสบการณ์ให้เด็กเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จึงต้องให้เวลาที่พอเพียงกับเด็กแต่ละคน มีกิจกรรมที่หลากหลายตามความสนใจและพอเหมาะกับประสบการณ์เดิมและความสามารถของเด็กและให้อิสระแก่เด็กที่จะใช้วิธีการที่เหมาะกับตัวเขา
2. การเรียนรู้และแบ่งปันความรู้ร่วมกับเด็กไปพร้อม ๆ กัน ทั้งนี้ตามแนวทางการปฏิรูปการศึกษาที่ระบุถึงการจัดการเรียนรู้ว่าให้จัดการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ ครูและเด็กเรียนรู้จากการทำกิจกรรมร่วมกัน ในระหว่างการทำกิจกรรมครูจะสังเกตพฤติกรรมที่แสดงถึงพัฒนาการในทุกด้านของเด็ก รวมทั้งเป็นโอกาสที่จะให้ความรู้และเรียนรู้ในเรื่องที่เด็กปฏิบัติ เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน ทำให้ทราบถึงความรู้ของเด็กที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมนั้น ๆ และสามารถนำไปสู่การกระตุ้นให้เด็กได้ขยายประสบการณ์ให้กว้างขวางออกไปด้วยแนวคิดของตนเอง
3. การวางแผนกิจกรรมที่จะให้เด็กเข้าใจสิ่งต่างโดยรอบ รวมทั้งการเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ที่กว้างขวางกว่าเดิม ทั้งนี้ครูสามารถวางแผนกิจกรรมที่สนับสนุนให้เด็กเกิดการเรียนรู้ทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตนเอง สิ่งต่าง ๆ รอบตัว และธรรมชาติรอบตัว ซึ่งเป็นการเรียนรู้เพื่อเข้าใจธรรมชาติของสิ่งเหล่านั้น หลังจากการเรียนรู้สาระความรู้แล้ว การที่ครูเข้าไปร่วมทำกิจกรรมกับเด็กมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน เป็นสิ่งที่ทำให้ครูเข้าใจถึงประสบการณ์และมโนภาพของเด็ก จากนั้นครูจึงนำความเข้าใจเหล่านี้ไปสู่การวางแผนกิจกรรมเพื่อขยายประสบการณ์ของเด็กให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ทั้งด้านความรู้ และด้านความสัมพันธ์ระหว่างตัวเด็กกับความรู้
4. การเปิดโอกาสให้เด็กได้เลือกเรื่องที่จะเรียนรู้ตามความสนใจของตนเอง ทั้งนี้การให้เด็กได้เลือกเรื่องที่จะเรียนรู้ที่เกิดจากความสนใจ จะส่งผลต่อประสิทธิผลของการเรียนรู้ เนื่องจากการที่ได้เรียนในสิ่งที่ต้องการทำให้เด็กเกิดแรงจูงใจภายในในการเรียนรรู้สิ่งนั้น ๆ ทำให้การเรียนเป็นไปอย่างมีความสุข ผู้เรียนมีความพึงพอใจที่ได้เรียน และจะเชื่อมโยงไปสู่ความรักในการเรียนรู้ มีเจตคติที่ดีต่อการเรียน
5. ให้เด็กทำกิจกรรมโดยการฝึกให้มีการวางแผนจัดทำเป็นโครงการของตนเอง โดยมีครูเป็นผู้ช่วย จากการทำโครงการ เด็กจะเรียนรู้เรื่องการวางแผน การจัดลำดับขั้นของการทำงาน การสืบค้นข้อมูล การลงมือปฏิบัติตามแผน การสรุปผลการทำงานและผลที่ได้รับ
6. การจัดกิจกรรมให้เด็กได้เรียนรู้จากการฝึกทักษะที่ส่งเสริมสติปัญญาของเด็ก เช่น การสังเกต การแก้ปัญหา การสืบค้น การเสาะหาความรู้
7. การประเมินผลการเรียนรู้ตามที่กำหนดไว้ในวัตถุประสงค์ของหลักสูตรและรายงานผลการเรียนรู้ให้ผู้ปกครองทราบ
การส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญา จึงเป็นการจัดกิจกรรมที่ให้เด็กได้ฝึกฝนการเสาะหา แสวงหา สืบค้น ความรู้ที่ตนสนใจ ด้วยวิธีการที่หลากหลาย และนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ทั้งนี้ผลจากการจัดกิจกรรมที่ให้เด็กปฏิบัติเพื่อสร้างความรู้ด้วยตนเองนั้น นอกจากจะเกิดผลต่อการเรียนรู้ในสิ่งนั้น ๆ แล้ว ยังเป็นการสร้างพื้นฐานการเป็นผู้ที่มีความใฝ่รู้ใฝ่เรียนให้กับเด็กอีกทางหนึ่งด้วย
การส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์
นอกเหนือจากการจัดประสบการณ์เพื่อส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 4 ด้านดังกล่าวแล้ว การจัดการศึกษาปฐมวัยแบบเตรียมความพร้อม ยังสนับสนุนเรื่องการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กด้วย โดยมีแนวทางการจัดประสบการณ์ดังนี้
1. การจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ที่หลากหลายเพื่อให้เด็ได้แสดงซึ่งความคิดและจินตนาการที่เด็กแต่ละคนมี
2. ให้อิสระแก่เด็กในการแสดงซึ่งความคิดสร้างสรรค์ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการคิด การกระทำ ผลงาน
3. จัดให้มีเวทีที่แสดงถึงผลแห่งการสร้างสรรค์ของเด็ก เช่นที่แสดงผลงาน เวทีการแสดง มุมจัดแสดง หรือป้ายแสดงผลงาน
4. สนับสนุนการแสดงออกซึ่งความคิดสร้างสรรค์ในหลาย ๆ รูปแบบ เช่น การทำกิจกรรมศิลปะ การร้องเพลง การแสดง การเต้น การฟ้อนรำ และด้านภาษา
5. สนับสนุน ชมเชย ยกย่อง ผลงานที่แสดงถึงความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก รวมทั้งการแสดงพฤติกรรมถึงการแก้ปัญหา หรือการกระทำที่สร้างสรรค์ที่แตกต่างไปจากการคิด/การกระทำของผู้อื่น
6. เข้าใจและยอมรับถึงภูมิหลังหรือประสบการณ์เดิมของเด็กที่แตกต่างกัน อันมีผลให้ความคิดสร้างสรรค์ของเด็กต่างกันออกไป รวมทั้งการยอมรับการแสดงออกของเด็กที่ต่างไปจากวิธีเดิม ๆ
7. สนับสนุนและจูงใจให้เด็กที่ขี้อาย หรือไม่กล้าแสดงออกให้ได้แสดงออกถึงการคิด การสร้างสรรค์ ให้กำลังใจ และชื่นชมกับสิ่งที่เด็กแสดงออกมาอย่างจริงใจและตรงกับความเป็นจริง
8. มีความสุขกับการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ของเด็กแต่ละคน ซึ่งแสดงถึงบุคลิกภาพของเด็กด้วย
การจัดการศึกษาปฐมวัยแบบเตรียมความพร้อมจึงให้ความสำคัญต่อการส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก รวมทั้งการคิดสร้างสรรค์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานชีวิตของเด็กที่จะเติบโตขึ้นไปอย่างมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ อันมีความหมายมากกว่าการจัดให้เด็กเรียนโดยเน้นเฉพาะสาระความรู้ ซึ่งอาจจะไม่มีความหมายใด ๆ กับเด็กเลยก็เป็นได้ และการที่ให้เด็กเรียนในสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับวัย พัฒนาการของเด็ก นอกจากจะไม่เกิดผลดีใด ๆ แล้วยังอาจเกิดผลเสียติดตามมาอีกด้วย เช่น ความเครียดที่ถูกบังคับให้เรียน ความเฉื่อยชาที่มีต่อการเรียน และจิตใจที่ต่อต้านต่อการเรียนในวัยต่อ ๆ มา ดังนั้นในวงการศึกษาปฐมวัยจึงให้ความสำคัญต่อการจัดการศึกษาแบบเตรียมความพร้อม ที่ให้เด็กได้รับการพัฒนาทุก ๆ ด้านไปพร้อม ๆ กันอย่างต่อเนื่อง อันจะส่งผลต่อพัฒนาการ บุคลิกภาพ และความเป็นผู้รักที่จะเรียนรู้ และก้าวไปสู่การเป็นบุคคลในสังคมแห่งการเรียนรู้ในที่สุด
เอกสารอ้างอิง
วัฒนา ปุญญฤทธิ์. (2536). การเตรียมความพร้อมของเด็กปฐมวัย. กรุงเทพฯ : สถาบันราชภัฏ
พระนคร.
. (2542). การจัดสภาพแวดล้อมในสถานพัฒนาเด็กประฐมวัย. กรุงเทพฯ : สถาบัน
ราชภัฏพระนคร.
Essa, E. (1992). Introduction to Early Childhool Edcucation. New York : Delmar.
Walsh, H.M. (1980). Introducing the Young Child to the Social World. New York :
Macmillan.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น